Aa
1เอลีชากล่าวว่า “จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า วันพรุ่งนี้เวลาราวๆ นี้ แป้งประมาณ 7.3 ลิตร7:1 ภาษาฮีบรูว่า1 ซีห์เช่นเดียวกับข้อ 16 และ 18 หรือข้าวบาร์เลย์ประมาณ 15 ลิตร7:1 ภาษาฮีบรูว่า2 ซีห์เช่นเดียวกับข้อ 16 และ 18 จะซื้อขายกันด้วยเงินหนัก 1 เชเขล7:1 1 เชเขล คือเงินหนักประมาณ 11.5 กรัม มีค่าเท่ากับค่าแรงสองเดือน เช่นเดียวกับข้อ 16 และ 18 ที่ประตูเมืองสะมาเรีย”
2นายทหารที่ติดตามกษัตริย์กล่าวกับคนของพระเจ้าว่า “ต่อให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดฟ้าสวรรค์ก็จะเป็นไปได้หรือ?”
เอลีชาตอบว่า “เจ้าจะเห็นกับตา แต่เจ้าจะไม่มีโอกาสได้กิน!”
วงล้อมแตก
3มีคนโรคเรื้อน7:3 คำภาษาฮีบรูอาจหมายถึง โรคผิวหนังต่างๆ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงโรคเรื้อนเท่านั้น เช่นเดียวกับข้อ 8สี่คนนั่งอยู่ตรงทางเข้าประตูเมือง พวกเขาพูดกันว่า “ทำไมมานั่งรอความตายอยู่ที่นี่?
4เราอยู่ที่นี่ก็จะอดตาย ถ้ากลับเข้าไปในเมืองก็อดตายกันอยู่ดี เราไปสวามิภักดิ์ต่อพวกอารัมกันเถิด ถ้าเขาไว้ชีวิตเรา เราก็อยู่ ถ้าเขาฆ่าเรา เราก็ตาย”
5ตอนพลบค่ำพวกเขาพากันไปยังค่ายพักอารัม แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย
6เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้กองทัพอารัมได้ยินเสียงรถม้าศึก เสียงควบม้า เสียงกองทัพใหญ่ จึงพูดกันว่า “กษัตริย์อิสราเอลจ้างพวกฮิตไทต์และกษัตริย์อียิปต์มาโจมตีเราแล้ว!”
7พวกเขาจึงเตลิดหนีไปเมื่อพลบค่ำ ทิ้งเต็นท์ ม้า ลา และข้าวของทุกอย่างไว้ แล้วหนีเอาชีวิตรอด
8เมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านั้นมาถึงริมค่าย ก็เข้าไปในเต็นท์และกินดื่ม พวกเขาขนเงินทองและเสื้อผ้าออกมาแล้วซ่อนไว้ พวกเขากลับมาอีกและเข้าไปในเต็นท์อื่น แล้วขนของไปเก็บซ่อนไว้
9แล้วพวกเขาพูดกันว่า “ทำอย่างนี้ไม่ถูก นี่เป็นข่าวดี แล้วเราไม่ยอมบอกใคร หากรอจนถึงวันพรุ่งนี้จะต้องมีโทษหนัก เรารีบกลับไปรายงานทางพระราชวังกันดีกว่า”
10ฉะนั้นพวกเขาจึงกลับมาร้องบอกยามรักษาการณ์ประตูเมืองว่า “พวกเราได้ออกไปที่ค่ายของชาวอารัม พบว่าม้าและลาถูกผูกไว้ เต็นท์ก็เป็นระเบียบดี แต่ไม่มีใครอยู่เลยสักคน”
11ยามรักษาการณ์จึงตะโกนแจ้งข่าวให้ทางพระราชวังทราบ
12กษัตริย์ตื่นบรรทม แล้วตรัสกับทหารทั้งหลายในคืนนั้นว่า “เราจะบอกพวกเจ้าให้ว่า นี่เป็นแผนของอารัม เขารู้ว่าเราอดอยากจึงทิ้งค่ายไปหลบซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนา และคิดว่า ‘พวกเขาจะออกมาแน่ๆ เราจะได้จับพวกเขาและบุกเข้ายึดเมือง’ ”
13ทหารคนหนึ่งทูลว่า “เราน่าจะส่งสายสืบไปดูลาดเลา ให้พวกเขาใช้ม้าที่ยังเหลืออยู่สักห้าตัว ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไปมากกว่าอยู่ที่นี่ซึ่งก็ต้องตายเหมือนกับพวกเราชาวอิสราเอลที่เหลือ”
14ดังนั้นเขาเลือกรถม้าศึกมาสองคันพร้อมม้า และกษัตริย์ส่งพวกเขาออกไปยังกองทัพอารัม พระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า “จงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
15พวกเขาตามไปถึงแม่น้ำจอร์แดน พบเสื้อผ้าและเครื่องใช้ไม้สอยซึ่งพวกอารัมทิ้งไว้ตลอดทางเนื่องจากหนีเตลิดไปอย่างชุลมุน แล้วพวกเขากลับมาทูลกษัตริย์
16ประชาชนจึงกรูกันออกไปยึดข้าวของในค่ายอารัม จึงเป็นจริงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้คือ แป้งประมาณ 7.3 ลิตร หรือข้าวบาร์เลย์ประมาณ 15 ลิตร ขายกันในราคาเพียง 1 เชเขลในวันนั้น
17กษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายทหารองครักษ์คนนั้นให้ดูแลที่ประตูเมือง แต่เขาถูกประชาชนเหยียบตายที่นั่น ตามที่คนของพระเจ้าได้ทำนายไว้เมื่อวันก่อน คราวที่กษัตริย์เสด็จมาที่บ้านของเขา
18เหตุการณ์เป็นไปตามที่คนของพระเจ้าได้กล่าวกับกษัตริย์ว่า “วันพรุ่งนี้เวลาราวๆ นี้แป้งประมาณ 7.3 ลิตร หรือข้าวบาร์เลย์ประมาณ 15 ลิตร จะซื้อขายกันด้วยเงินหนัก 1 เชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย”
19แต่นายทหารของกษัตริย์ได้แย้งคนของพระเจ้าว่า “ต่อให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดฟ้าสวรรค์ก็จะเป็นไปได้หรือ?” คนของพระเจ้าตอบว่า “เจ้าจะเห็นกับตา แต่เจ้าจะไม่มีโอกาสได้กิน!”
20และก็เป็นไปตามนั้นทุกประการ เพราะเขาถูกประชาชนเหยียบตายที่ประตูเมือง