กฎบัญญัติและประเพณีนิยม
1มีพวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนมาจากเมืองเยรูซาเล็มมาพูดกับพระองค์ว่า
2“ทำไมบรรดาสาวกของท่านละเมิดประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ พวกเขาไม่ล้างมือเวลารับประทานอาหาร”
3พระองค์กล่าวตอบว่า “แล้วทำไมพวกท่านจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประเพณีนิยมของท่านเอง
4พระเจ้ากล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’15:4 อพยพ 20:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16 และ ‘คนที่พูดว่าร้ายบิดามารดา ก็ให้เขาได้รับโทษถึงตาย’15:4 อพยพ 21:17; เลวีนิติ 20:9
5แต่พวกท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดพูดกับบิดาหรือมารดาว่า “สิ่งของของเราที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้น ได้มอบให้แด่พระเจ้าแล้ว”
6ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติบิดาหรือมารดาของเขา’ ซึ่งเป็นอันว่าพวกท่านยกเลิกคำกล่าวของพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประเพณีนิยมของท่าน
7พวกท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก อิสยาห์ได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงพวกท่านถูกต้องแล้วว่า
8‘คนเหล่านี้ให้เกียรติเราเพียงแค่ปาก
แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
9พวกเขากราบนมัสการเราโดยไร้ประโยชน์
เขาสอนกฎเกณฑ์ของมนุษย์ เสมือนว่าเป็นคำสั่งสอนของพระเจ้า’”15:9 อิสยาห์ 29:13
10หลังจากพระองค์ได้เรียกฝูงชนมาแล้ว พระองค์กล่าวว่า “จงฟังและเข้าใจว่า
11ไม่ใช่สิ่งที่เข้าปากที่ทำให้คนเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกจากปากนั่นแหละที่ทำให้คนเป็นมลทิน”
12บรรดาสาวกมาพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์ทราบไหมว่า พวกฟาริสีโกรธเคืองมากที่ได้ยินพระองค์กล่าวเช่นนั้น”
13พระองค์กล่าวตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ได้ปลูกไว้จะถูกถอนรากเสีย
14ช่างพวกเขาเถิด พวกคนตาบอดเป็นคนนำคนตาบอดเอง ถ้าชายตาบอดคนหนึ่งนำคนตาบอดอีกคนหนึ่ง ทั้งสองก็จะพากันตกบ่อ”
15เปโตรพูดตอบพระองค์ว่า “โปรดอธิบายคำอุปมาแก่พวกเราด้วย”
16พระเยซูกล่าวว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจเช่นกันหรือ
17เจ้าไม่เข้าใจหรือว่า ทุกสิ่งที่เข้าปาก ผ่านเข้าไปในท้อง แล้วก็ออกนอกกายไป
18แต่สิ่งที่ออกจากปากมาจากใจ สิ่งนี้แหละที่ทำให้คนเป็นมลทิน
19เพราะว่าสิ่งที่ออกจากใจคือความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดประเวณี การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย
20สิ่งเหล่านี้ทำให้คนเป็นมลทิน แต่การรับประทานด้วยมือที่ไม่ล้างไม่ทำให้คนเป็นมลทิน”
ความเชื่อมั่นคงของหญิงคานาอัน
21พระเยซูไปจากสถานที่นั้น และไปยังเขตเมืองไทระและไซดอน
22มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากชายแดนนั้นส่งเสียงร้องว่า “พระองค์ท่าน บุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย ลูกสาวของข้าพเจ้าถูกมารสิงจนแย่แล้ว”
23พระองค์ไม่ตอบนางสักคำเดียว บรรดาสาวกของพระองค์มาขอร้องพระองค์ว่า “โปรดขับไล่นางไปเถิด เพราะนางร้องตะโกนตามพวกเรามา”
24พระองค์กล่าวตอบว่า “พระเจ้าส่งเรามายังชนชาติอิสราเอลเท่านั้น เพราะพวกเขาเป็นเสมือนฝูงแกะที่หลงหาย”
25นางมาก้มกราบเบื้องหน้าพระองค์แล้วกล่าวว่า “พระองค์ท่าน โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย”
26พระองค์กล่าวตอบว่า “การที่จะเอาอาหารของเด็กๆ โยนให้พวกสุนัขนั้นไม่ถูกต้อง”
27นางพูดว่า “ใช่แล้ว พระองค์ท่าน แต่ว่าแม้พวกสุนัขก็ยังกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนายมัน”
28พระเยซูกล่าวตอบนางว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อสูงส่ง จงเป็นไปตามที่เจ้าต้องการเถิด” ครั้นแล้วลูกสาวของนางก็หายดีเป็นปกติทันที
มหาชนกับขนมปัง 7 ก้อนและปลาเล็กเพียงสองสามตัว
29พระเยซูจากที่นั่นไปตามริมทะเลสาบกาลิลี แล้วขึ้นไปนั่งอยู่บนภูเขา
30มหาชนพาคนง่อย คนพิการ คนตาบอด คนใบ้และอื่นๆ อีกมากมาหาพระองค์ พวกเขานำคนเหล่านั้นมาอยู่ที่แทบเท้าของพระองค์ แล้วพระองค์ก็รักษาพวกเขาให้หายขาด
31ฝูงชนพากันอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็น และเขาเหล่านั้นก็สรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล
32พระเยซูเรียกบรรดาสาวกของพระองค์มาหาและกล่าวว่า “เราสงสารบรรดาฝูงชน เพราะพวกเขาอยู่กับเรามาได้ 3 วันแล้วโดยไม่มีอะไรรับประทาน เราไม่อยากให้เขาเดินหิวกลับบ้านไป เขาอาจจะเป็นลมระหว่างทางก็ได้”
33บรรดาสาวกพูดกับพระองค์ว่า “ในที่กันดารเช่นนี้ พวกเราจะเอาขนมปังจากไหนมาเลี้ยงฝูงชนจำนวนมากได้”
34พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่ก้อน” เขาตอบว่า “7 ก้อนกับปลาเล็กๆ อีกสองสามตัว”
35ครั้นแล้วพระองค์ก็สั่งฝูงชนให้นั่งลงบนพื้นดิน
36พระองค์หยิบขนมปัง 7 ก้อนกับปลานั้นมา และกล่าวขอบคุณพระเจ้า บิส่งให้เหล่าสาวก แล้วพวกเขาก็แจกให้แก่ฝูงชน
37ทุกคนรับประทานจนอิ่มหนำ พวกเขารวบรวมอาหารที่เหลือได้เต็ม 7 ตะกร้าใหญ่
38ผู้ที่รับประทานอาหารเป็นผู้ชาย 4,000 คน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก
39พระองค์บอกให้ฝูงชนกลับไปบ้าน แล้วก็ลงเรือไปยังเขตเมืองมากาดาน
New Thai Version Foundation